วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ผมเป็นคนบาปหนามาก
ผมเป็นคนบาปหนามากถึงแม้ว่าผมเคยปฏิบัติธรรมแต่ก่อนหน้านั้นในวัยเด็กเคยทำบาปกับบิดา - มารดาแม้กระทั่งเข้าสู่วัยรุ่นก็ไม่อยู่ในศีล 5 เคยลวกหอยแครงแล้วนำมารับทานเคยลักขโมยเงินพ่อ - แม่เคยด่าพ่อ - แม่มาบัดนี้หันหน้าเขาหาทางธรรมมาหลายสิบปีแต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังแล้วก็หนีไม่พ้นตกนรก(โรรุวนรก)แน่ ๆ ปัจจุบันนี้จึงทำใจยอมรับกรรมที่เคยก่อไว้โดยไม่มีข้อโต้แย้งถึงแม้ว่าในบั้นปลายชีวิตของบิดา - มารดาผมได้มีโอกาสดูแลปรนนิบัติท่านแต่ก็ไม่สามารถลบล้างบาปกรรมได้หรอกครับเมื่อวานนั่งดู Clip ที่ Youtube ของอาจารย์ เกษม อยู่เกือบทั้งวันก็เลยมีความคิดอยากจะสารภาพขึ้นมา
เรื่อง เศรษฐีสุทัตต์(อนาถบิณฑิกเศรษฐี)ฉบับภาษาอังกฤษ
การสอนธรรมะให้แก่ผู้อื่นนั้นเหมือนกับการหยอดน้ำมันล้อเกวียนซึ่งแม้บรรทุกหนักก็สามารถหมุนไปได้ หรือเหมือนกับเรือลอยน้ำที่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย เศรษฐีสุทัตต์ (อนาถบิณฑิกเศรษฐี)เป็นผู้ใจบุญที่มีความเมตตามาก เขาชอบช่วยเหลือคนยากไร้ มักจะบริจาคอาหารและสิ่งของแก่พวกเขา ภายในบริเวณเมืองสาวัตถีนั้น ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย เด็กเล็ก หรือคนชรา หากยากจนข้นแค้นไร้ที่พึ่งพิง เพียงแต่ไปขอความช่วยเหลือจากเขาเขาก็จะมา ช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงกล่าวขานเขาว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี ครั้งหนึ่ง เศรษฐีสุทัตต์เดินทางไปยังกรุงราชคฤห์พบเศรษฐีสุระเพื่อเจรจาสู่ขอให้กับลูกชาย คนเล็กและบังเอิญได้พบกับพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ จึงบังเกิดความปิติสุข ในตอนนั้นก็บังเกิดจิตจะสร้างอารามทูลเชิญพระพุทธองค์และเหล่าพระภิกษุไปเทศนาสอนสั่ง และรับการบริจาคที่กรุงสาวัตถี พระพุทธองค์ทรงปลื้มปิติที่เห็นเศรษฐีสุทัตต์ มีความตั้งใจเช่นนั้น จึงตอบตกลง รอจนอารามสร้างเสร็จก่อนแล้วจะไปที่นั่นแน่นอน เศรษฐีสุทัตต์เมื่อกลับไปยังเมืองสาวัตถี ก็รีบเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสมไปทั่วทุกสารทิศ ช่วงเวลาที่ออกหาสถานที่ต่าง ๆ นั้น เขา
ชอบใจสวนของเจ้าเชต สวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวาง มาก ภายในสวนมีทั้งภูเขาและสายน้ำ มีดอกไม้ใบหญ้า เรียกได้ว่าภูเขาตะหง่านสายน้ำไหลริน พฤกษาหอมหวล เป็นสถานที่ที่สวยงามและเงียบสงบ หากว่าใช้สถานที่นี้มาสร้างอารามวิหาร ถวายแด่พระพุทธองค์เพื่อเป็นสถานที่แสดงธรรม และเป็นที่พักของเหล่าพระภิกษุ ที่ที่ดีกว่านี้ ก็หาไม่ได้แล้ว แต่เศรษฐีสุทัตต์ก็นึกได้ว่าสวนแห่งนี้ เจ้าเชตทรงโปรดเป็นที่สุด แล้วใจใช้วิธี ไหนที่จะทำให้เจ้าเชตยอมปล่อยสวนนี้ให้ ? เศรษฐีสุทัตต์ครุ่นคิดพิจารณา แม้เขาจะรู้สึกว่าเป็น เรื่องยาก แต่ก็จะลองไปเข้าเฝ้าเจ้าเชตดู อ้อนวอนขอให้พระองค์ขายสวนแปลงนั้นให้ ไม่ว่าจะ เสนอเงื่อนไขอะไรเจ้าเชตก็ไม่ทรงตกลง เศรษฐีสุทัตต์ก็วอนขออยู่หลายครั้งหลายครา เจ้าเชต ทรงรู้สึกว่าไม่ควรจะปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะว่าเศรษฐีสุทัตต์นั้นเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของ คนทั้งเมือง พระองค์จึงคิดคำนวนมูลค่าไว้สูงมาก เพื่อจะทำให้เศรษฐีสุทัตต์สู้ราคาไม่ไหวและ ล้มเลิกความตั้งใจ จึงทรงตรัสว่า เดิมทีเราก็ไม่อยากปล่อยขาย ในเมื่อท่านมีความต้องการเช่นนี้ ตกลงขอเพียงท่านนำเอา ทองคำมาปูให้เต็มสวน และให้ถือเอาทองคำที่ปูเต็มสวนเป็นค่าตอบแทน เราก็ยินดีให้สวนนั้นแก่ท่าน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ราชบุตรจะทรงเอ่ยปากบอกราคา เศรษฐีสุทัตต์ดีใจมาก จึงเร่งรีบกลับบ้านไป เรียกให้คนรับใช้นำทองคำใส่รถแล้วลากไปปูที่สวนนั้นทีละรถ ๆ ฝ่ายเจ้าเชตนั้นเดิมทีคิดจะ กลั่นแกล้งให้
เศรษฐีสุทัตต์ล้มเลิกความตั้งใจให้เขาไม่สามารถซื้อสวนนั้นได้ แต่มาบัดนี้ ทรงทอด พระเนตรภาพเบื้องหน้าก็ซาบซึ้งตื้นตันใจมาก จึงทรงตรัสกับเศรษฐีว่า ที่ดินนี้เป็นของท่านเศรษฐีแล้ว แต่มวลพฤกษาในสวนนั้นเรามิได้ขายให้ท่าน พระพุทธองค์ เป็นคนเยี่ยงไร? ท่านถึงต้องกระตือรือร้นปานฉะนี้ บัดนี้ ท่านได้โปรดอนุญาตให้เราถวายมวล พฤกษาเหล่านี้แก่พระพุทธองค์บ้างได้หรือไม่?” เศรษฐีสุทัตต์ได้ยินคำพูดเช่นนี้ จึงเล่าถึงความ ยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ให้ฟัง ทั้งสองคนรู้สึกซึ้งใจและปิติยิ่งนัก เมื่ออารามสร้างเสร็จ เศรษฐีสุทัตต์จึงรีบทูลเชิญพระพุทธองค์และเหล่าภิกษุสงฆ์ เนื่องจาก อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้บริจาคสวน เจ้าเชตทรงบริจาคหมู่พฤกษา ดังนั้นพระพุทธองค์จึงใช้ชื่อ ของคนทั้งสอง ตั้งชื่ออารามนี้ว่า เชตวันวรวิหาร ครั้งนี้เป็นเป็นครั้งที่เศรษฐีสุทัตต์ได้บริจาคเงินทองมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต และก็เป็นเหตุ ที่ทำให้เขายากจนอีกครั้งหนึ่ง เศรษฐีสุทัตต์ชื่นชอบการบริจาค จนต้องกลายเป็นคนยากจน และ เกือบจะอดตาย คลังสมบัติของเขาไม่หลงเหลืออะไร เงินสักเหรียญในมือก็ยังไม่มี ต่อมาเขาเก็บกระบอกไม้ได้จากกองขยะ เนื้อไม้ที่ใช้ทำกระบอกเป็นไม้ที่มีราคา แต่เนื่องจาก มันไม่ค่อยสะอาด ในตลาดน้อยคนนักที่จะยอมรับซื้อ แต่ก็พยายามแลกข้าวกลับมาได้ 4 ลิตร ภรรยาของเศรษฐีสุทัตต์ ตวงข้าวหนึ่งลิตรไปหุงจนสุก หน้าบ้านนั้นพระสารีบุตรมายืนรอ ขอบิณฑบาต นางดีใจมากจึงนำข้าวหนึ่งลิตร
ที่หุงสุกแล้วถวายแด่พระสารีบุตร นางก็หุงข้าวใหม่ อีกหนึ่งลิตร เมื่อข้าวสุกแล้ว พระโมคคัลานะมาถึงประตูบ้านพอดี นางจึงนำข้าวถวายแด่พระ โมคคัลานะอีก หุงข้าวครั้งที่สามถวายแด่พระมหาปัสสปะ บัดนี้เหลือข้าวหนึ่งลิตรที่เพิ่งจะหุงสุก พระพุทธองค์ก็เสด็จมาถึง นางคิดว่า เพิ่งจะหุงข้าวนี้สุกพระพุทธองค์ก็เสด็จมาถึง หรือว่าจะต้อง รับทุกข์กรรมให้หมดเสียก่อน บุญวาสนาจึงจะมาถึง ? ด้วยเหตุนี้จึงนำข้าวในหม้อทั้งหมดถวาย แด่พระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงกล่าวคำอวยพรแก่ครอบครัวของนางว่า กรรมสิ้นวาสนาเกิด นับแต่บัดนี้ ร่ำรวยสมบูรณ์ตลอดกาล ไร้ซึ่งความทุกข์ยากทั้งปวง ทันใดนั้น คนในครอบครัวก็วิ่งมาบอกว่า เงินทองรัตนมณี อาหารอาภรณ์แพรไหมในคลังเสบียง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด จึงมีอยู่เป็น กองดุจภูเขามันมีมากเสียกว่าครั้งสมัยที่ยังร่ำรวย เศรษฐีสุทัตต์เกิดความกระจ่างในจิตใจ นี่คือ ความเมตตาแห่งพระพุทธองค์ ด้วยเหตุนี้จึงตระเตรียมอาหารเพื่อถวายแด่พระพุทธองค์ และ เหล่าพระภิกษุ ทั้งวอนขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ทุกคนต่างได้รับความสุขจากการฟังธรรม นำทุกสิ่งทุกอย่างของตนถวายบริจาคแก่ผู้อื่น ดูเหมือนว่าหมดสิ้นแล้ว แต่เมล็ดพันธุ์ยังคงฝังอยู่ ใต้ดินย่อมจะเก็บเกี่ยวผลได้เพียงแค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ในอดีต มีคน ๆ หนึ่งทำการค้าเก่งมาก เขารู้ว่าสิ่งของชนิดนี้
เหมาะสมกับคนประเภทใด ด้วยเหตุนี้สินค้าเบ็ดเตล็ดเมื่อผ่านมือเขาก็กลายเป็นผลกำไรหลายเท่าในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่ปี คน ๆ นี้ก็กลายเป็นเศรษฐี แม้ว่าเขาจะมีเงินทองมากมาย แต่มันก็ไม่อาจทำให้ เขามีความสุข เงินทองยิ่งสะสมก็ยิ่งเพิ่มพูน ความทุกข์ที่ตามมาก็ทับถมขึ้นทุกวัน แท้ที่จริง เขาวิตกกังวลว่า บ้านหลังใหญ่โตนี้ไม่รู้จะเอาสมบัติซุกไว้ที่ไหนดี? เขาขบคิดปัญหานี้ ทุกวัน เขาคิดว่า เอาเงินทองฝังลงไปในดิน แต่ว่าจะถูกหนูเอาไปหรือเปล่า? เอาไปซ่อนไว้ใน ป่า ลิงเจ้าเล่ห์จะมาโยกย้ายเอาไปหรือเปล่า ? ฝังไว้ใต้น้ำ ก็กลัวว่าสัตว์น้ำทั้งหลายจะมา ขนย้ายไป หากฝากไว้กับพี่น้องภรรยา เงินทองที่ได้มาด้วยความยากลำบากนี้อาจถูกพวกเขา นำไปใช้ได้ ยิ่งน่าเสียดายนัก! แล้วจะทำอย่างไร หรือว่าเอาเก็บไว้รอบเอว ดูแลรักษาเอง วันหนึ่ง ซึ่งตรงกับวันพระ พุทธศาสนิกชนต่างพากันไปไว้พระที่วัด ที่หน้าวัดมีคน ๆ หนึ่ง ใช้ทองคำมาทำเป็นบาตรใหญ่ วางไว้ตรงทางแยก คนที่ผ่านไปมา ต่างโยนเงินลงในบาตร ในบาตรนั้นก็เกิดเสียงดังกิ๊งก๊าง พ่อค้าคนนี้ เกิดทางผ่านมากพอดี เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ไม่เข้าใจ จึงสอบถามจากผู้อื่น มีคนหนึ่งบอกเขาว่า ท่านไม่รู้หรือ นี่เรียกว่าบุญวาสนาร่วม หากว่ามีคน
ทำบุญหนึ่งเหรียญลงในนี้ ก็จะได้รับ บุญวาสนาในชาติหน้า ดังที่ว่าสละหนึ่งได้รับนับหมื่น ใช้ไม่มีวันหมด เงินทองในนี้ นำไป สร้างประโยชน์แก่มวลมนุษย์บาตรใบนี้เรียกว่า ที่รักษาอันเข้มแข็ง เมื่อใส่เงินเข้าไปข้างใน ก็จะไม่ถูก ๕ บ้านนำไปใช้ มีเพียงผู้ที่ลงทุนเท่านั้นจึงจะได้รับ เงินทองที่อยู่ข้างกาย เป็นของใช้ ร่วมของ ๕ บ้าน แล้ว ๕ บ้านคืออะไร ? ข้อที่ 1 เมื่อประเทศชาติต้องการ ก็สามารถใช้กฎหมายบังคับให้เอาเงินออกมาได้ ข้อที่ 2 เมื่อมีเงินทองมากมายก็เป็นจุดสนใจของผู้คน ถ้าไม่ระวังก็จะถูกโจรขโมยแย่งชิงไป ข้อที่ 3 ลูกหลานเนรคุณ ไม่ประกอบสัมมาอาชีพ มัวเมาอยู่ในสุรา นารี กีฬาบัติ อาหาร การกิน สุดท้ายก็ผลาญจนหมดสิ้น ข้อที่ ๔ อุทกภัยมาถึง เงินทองก็ไหลไปตามน้ำ ข้อที่ ๕ อาจถูกไปไหม้ให้พังพินาศ ลามข้อแรกเป็นการหมดไปโดยมนุษย์ สองข้อหลังเป็นการหมดไปโดยภัยพิบัติ เช่นนี้
แล้ว พวกเราสะสมเงินทองมากมายก็ไม่มีประโยชน์ สู้นำมาใส่ไว้ในบาตรใบนี้ดีกว่า ก็สามารถได้รับประโยชน์มหาศาล และไม่ถูกทำร้ายโดย ๕ บ้านนี้เมื่อพ่อค้าได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจมาก เขาพูดว่าข้าได้พบสถานที่เก็บเงินที่ปลอดภัยแล้วเขาจึงรีบปลดเอาเงินทองที่รอบเอวออกมาใส่ลงในบาตรทั้งหมดพระภิกษุในวัดเทศนาธรรมบทขอขมากรรมให้เขาฟัง พ่อค้าบังเกิดความปิติ ยินดี และได้บรรลุพระโสดาบันเงินทอง หลังจากใช้ไปแล้วจึงจะเป็นของตนเอง การช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก จึงเป็นการ ใช้ประโยชน์จากเงินทองอย่างถูกต้อง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น