ทั้งศูนย์กลางของชุมชนและเป็นพื้นที่เปิดรับอิทธิพลจากภายนอก โดยอาคารนี้ทำหน้าที่เป็นหลักฐานทางกายภาพที่เชื่อมโยงอดีตของวัดเข้ากับยุคสมัยแห่งการปฏิรูปประเทศ การเปลี่ยนผ่านจากอาคารไม้สู่ถาวรวัตถุ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวอาคารและวัดแสดงถึง ความมั่นคงทางศรัทธาและการพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้าง ในอดีตสิ่งก่อสร้างในวัดมักเป็นไม้ แต่การปรากฏของอาคาร ก่ออิฐฉาบปูน ที่เผยให้เห็นชั้น อิฐสีแดง ภายใน แสดงถึงความตั้งใจของวัดที่จะสร้างอาคารที่มีความคงทนถาวรและทันสมัยตามแบบสากล เพื่อใช้ในกิจการของสงฆ์หรือการศึกษาการประสานวัฒนธรรม (Cultural Syncretism)ตัวอาคารแสดงถึงการที่วัดสัมพันธวงศ์เป็นพื้นที่แห่งการปรับตัว โดยการรับเอาสถาปัตยกรรมตะวันตก เช่น ซุ้มหน้าต่างทรงโค้ง (Arch) และ ช่องแสงรูปพัด มาใช้ สิ่งนี้สะท้อนว่าในสมัยนั้น ความเป็นไทยและสถาปัตยกรรมทางศาสนาไม่
ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงรูปแบบประเพณีดั้งเดิม แต่สามารถผสมผสานความสง่างามแบบสากลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่วัดได้อย่างกลมกลืน บันทึกกาลเวลาของชุมชนร่องรอยการหลุดร่อนของปูนและสีสันที่ยังคงอยู่ เช่น ผนังสีเหลืองมัสตาร์ดและบานประตูสีน้ำเงิน เปรียบเสมือนจดหมายเหตุที่บอกเล่าสภาพสังคมและเศรษฐกิจของย่านสัมพันธวงศ์ในยุคนั้น ว่าเป็นย่านที่มีความเจริญและมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองเพียงใด
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ไม่ได้มาจากแหล่งข้อมูลจากการวิเคราะห์เพิ่มเติมภายนอกแหล่งข้อมูล โดยปกติอาคารลักษณะนี้ในวัดสัมพันธวงศ์มักถูกใช้เป็น อาคารเรียนหรือกุฏิสงฆ์ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาท
ของวัดในฐานะสถาบันทางการศึกษาในอดีต ท่านอาจต้องการตรวจสอบประวัติการใช้งานเฉพาะของตึกพุ่มเทียนประสิทธิ์จากเอกสารของทางวัดเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน
ตึกพุ่มเทียนประสิทธิ์เปรียบเสมือน สะพานเชื่อมกาลเวลา ที่วางตัวอยู่ใจกลางวัดสัมพันธวงศ์ ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวความรุ่งเรืองในอดีตและการเปิดรับวัฒนธรรมจากต่างแดนที่ถูกนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิตทางพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่าง
ลงตัว
ในบริบทที่กว้างขึ้น ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของ ตึกพุ่มเทียนประสิทธิ์ ภายในวัดสัมพันธวงศ์ ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างอาคารเพื่อใช้งานเท่านั้น แต่เป็นบันทึกทางกายภาพที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองและการรับอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกมาปรับใช้ในพื้นที่ทางศาสนาของไทยอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้ การผสมผสานสไตล์นีโอคลาสสิกและโคโลเนียล: แหล่งข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอาคารนี้ใช้ ซุ้มหน้าต่างทรงโค้ง
(Arch) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมยุโรป การตกแต่งช่องแสงด้านบนด้วยลวดลาย รูปพัดหรือกลีบดอกไม้ และการใช้ บานประตูหน้าต่างไม้แบบลูกฟัก สะท้อนถึงความนิยมในศิลปะแบบเรอเนสซองส์ฟื้นฟูที่แพร่หลายในประเทศไทยช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 นวัตกรรมการก่อสร้างแบบตะวันตกภาพถ่ายที่เผยให้เห็นส่วนของ ปูนที่หลุดร่อนจนเห็นชั้นของอิฐสีแดง ภายในกำแพง เป็นหลักฐานสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากการก่อสร้างด้วยไม้หรือเครื่องสับแบบดั้งเดิม มา
เป็นการก่อสร้างแบบ ก่ออิฐฉาบปูน (Masonry) ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงที่แสดงถึงความทันสมัยและความมั่นคงถาวรของศาสนสถาน สุนทรียศาสตร์ของสีสันและการตัดกันขององค์ประกอบ: การใช้ ผนังสีเหลืองมัสตาร์ด ตัดกับ บานประตูหน้าต่างสีฟ้าและสีน้ำเงิน รวมถึง บันไดทางขึ้นสีชมพูอมแดง เป็นการใช้คู่สีที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของอาคารในยุคนั้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ บัวปูนปั้นสีขาว เพื่อแบ่งสัดส่วนอาคารตามแนวนอนและล้อมรอบซุ้มประตูหน้าต่าง เพื่อสร้างมิติและความสง่างามให้กับตัวตึก
การปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศ (Tropical Adaptation): แม้จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แต่ลักษณะของ บานประตูหน้าต่างไม้ขนาดใหญ่ และการใช้ช่องแสงด้านบน ช่วยในเรื่องการระบายอากาศและการรับแสงธรรมชาติ ซึ่งเป็นแนวคิดการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย โดยการนำรูปทรงแบบยุโรปมาประยุกต์ให้ใช้งานได้จริง ร่องรอยแห่งกาลเวลาและคุณค่าทางประวัติศาสตร์สภาพปัจจุบันที่ปรากฏร่องรอยการกะเทาะของผนังปูนฉาบ ไม่เพียงแต่แสดงถึงความเก่าแก่ แต่ยังทำให้เห็นโครงสร้าง
ภายในที่เป็น อิฐดินเผา ซึ่งสะท้อนถึงฝีมือช่างและการใช้วัสดุในท้องถิ่นเพื่อสร้างสรรค์อาคารรูปแบบสากล
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเหล่านี้เปรียบเสมือน สะพานเชื่อมวัฒนธรรม ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงความงามแบบสากลจากซีกโลกตะวันตก เข้ากับวิถีชีวิตและศรัทธาในพุทธศาสนาของชุมชนในย่านสัมพันธวงศ์อย่างกลมกลืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น